ซีรีย์ไทย Thai Cave Rescue ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง ชมได้ที่ Netflix

จุดเด่นของซีรีย์ Thai Cave Rescue หรือ ถ้ำหลวง:ภารกิจแห่งความหวัง ก็คือการยกย่องฮีโร่หรือผู้เสียสละเพื่อช่วยชีวิตเด็ก ๆ นักกีฬาฟุตบอลทีมหมูป่า 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ในถ้ำมันแบ่งเป็นหลายห้อง เรียกได้ว่ามีความยากลำบากในการค้นหา เพราะทางในถ้ำทั้งมืดแคบและอันตราย ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะพบเจออุปสรรคอะไรบ้าง และมีน้ำท่วมในถ้ำตลอดเวลาที่เด็ก ๆ ติดถ้ำซึ่งเป็นช่วงหน้าฝนพอดี

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

ในซีรีย์ตอนแรกเปิดเรื่องด้วยการเล่าว่าหมูป่าแต่ละคนมีชีวิตประจำวันอย่างไร บางคนอยู่กับพ่อแม่ บางคนอยู่กับยาย และบางคนก็เป็นนักกีฬาที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ในตอนแรกนี้ถือว่าเปิดเรื่องได้น่าสนใจดี มีความสดใหม่และแตกต่างจากหนังและซีรีย์ถ้ำหลวงที่ผลิตมาก่อนหน้านี้ จุดเด่นเลยคือการทำให้เราได้เห็นชีวิตของเด็ก ๆ เป็นภาพเคลื่อนไหวว่าเขามาซ้อมฟุตบอลด้วยกัน เป็นความสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวระหว่างหมู่เพื่อนพี่น้องที่อายุระหว่าง 10-16 ปี ก่อนจะนัดกันไปเที่ยวที่ถ้ำหลวง ตอนแรกจะไปถ้ำอื่น แต่ด้วยโชคชะตาของเด็ก ๆ ที่ถ้ำแห่งนั้นปิด เด็ก ๆ เลยได้ไปถ้ำหลวงแทน โดยในซีรีย์ได้แสดงให้เห็นด้านที่อ่อนโยนของโค้ชเอกโค้ชฟุตบอลหนุ่มวัย 24 ปี ที่รักเด็ก ๆ เหมือนน้องแท้ ๆ และเริ่มเห็นด้านที่เป็นคนรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างตอนที่น้องไตตั้นทะเลาะกับพ่อแม่ แอบหนึมาอยู่บ้านโค้ชเอก โค้ชเอกก็ทำข้าวไข่เจียวให้กิน แต่ก็แอบเป็นกาวใจของครอบครัวน้องไตตั้น กระซิบพ่อแม่ให้มาดูน้องไตตั้นแข่ง น้องไตตั้นก็โกรธงอนโค้ชตามประสาเด็ก แต่อธิบายไม่นานน้องก็เข้าใจ

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

ตอนแรกจบไปอย่างทรงพลังด้วยฉากขี่จักรยานไปถ้ำหลวงของสมาชิกหมูป่า ให้ความรู้สึกเหมือนดูแฟนฉัน ความเป็นเด็กชนบทที่มีความสุขที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ปกติไม่ค่อยได้ไป ตั้งใจฝึกซ้อมฟุตบอล ไม่ค่อยได้เล่นสนุก เมื่อได้ไปถ้ำหลวงแล้ว โค้ชเอกได้พาเด็ก ๆ ไปไหว้เจ้าหญิงหรือนางนอน โดยโค้ชเอกได้เล่าตำนานของเจ้าหญิงให้เด็ก ๆ ฟัง เด็ก ๆ ชอบฟังนิทานอยู่แล้ว ก็ฟังก็เพลิน นิทานเป็นเรื่องความรักของเจ้าหญิงกับคนเลี้ยงม้า เป็นความรักต่างชนชั้นที่พระราชาไม่เห็นด้วย เจ้าหญิงกับคนเลี้ยงม้าพากันหนีมาที่ถ้ำนี้ ก่อนที่พระราชาจะฆ่าคนรักของเจ้าหญิง เจ้าหญิงหนีหลบมาอยู่ในถ้ำแล้วเอาปิ่นปักผมแทงหัวใจตัวเองตาย ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจริงหรือแต่ง แต่มันเป็นความเชื่อของผู้คนว่าเจ้าหญิงมีหน้าที่ปกปักรักษาถ้ำหลวง รูปทรงของถ้ำเหมือนหญิงสาวที่กำลังนอนสยายผม เด็ก ๆ ไหว้เจ้าหญิงก่อนจะไปเข้าถ้ำ ตอนนี้รู้สึกเชื่อมโยงกับตอนที่สองที่ฮีโร่คนที่สองคือผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร หรือผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น ได้มาไหว้เจ้าหญิงกับชาวบ้าน (พ่อแม่ของเด็ก ๆ) ที่ว่าผมไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ผมไม่ลบหลู่นะ เพราะความเชื่อช่วยให้ความหวังยังมีถึงแม้ว่าจะริบหรี่หากพิจารณาจากเหตุผล ขณะที่ถ้าเชื่ออย่างเดียวแต่ไม่ทำอะไร ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรได้ ตัวผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ได้ทำตามในสิ่งที่เขาเชื่อคือวิทยาศาสตร์ เขาได้ขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยซีล(หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม) และได้ขอให้นักประดาน้ำจากต่างประเทศมาช่วยเด็ก ๆ ด้วย

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

เนื้อเรื่องตอนที่สองมีความอืด ๆ บ้าง แต่เราก็รู้แหละว่ากำลังจะปูไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ในตอนหลัง บทของเจ้าหน้าที่ป่าไม้สาวชื่อพิมดูน้อยมาก แต่เธอก็มีความสำคัญในเรื่องไม่น้อยกว่าตัวละครตัวอื่น ขณะที่ตัวละครเด็กฝึกงานกรมอุตุนิยมวิทยาที่ชื่อนุ่นสร้างความประทับใจให้คนดูว่าเธอเป็นคนที่ใส่ใจในงานมากว่าจะมีพายุเข้าไหม ปริมาณน้ำฝนเท่าไหร่ ตอนที่ดาวเทียมเสีย เธอยังโทรถามญาติที่ผาหมีเลยว่าฝนตกเยอะไหม นุ่นเป็นตัวละครเด็กรุ่นใหม่ตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีอำนาจอะไร แต่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเตือนภัยพิบัติ หัวหน้าของเธอดูไม่ยี่หระ เอาแต่ติดดูบอล และกลัวต้องรับผิดชอบหากประกาศเตือนแต่จริง ๆ ไม่ร้ายแรง เราได้เห็นการทำงานของกรมอุตุนิยมวิทยากับอุทยาน ในการปิดอุทยานจะทำได้ก็ต่อเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพายุจะเข้า มีความเสี่ยงอันตรายในการเปิดถ้ำ ความล่าช้านี่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อุทยานปิดอุทยานไม่ทัน และเด็ก ๆ ได้เข้าไปในถ้ำ แล้วน้ำก็ท่วมปืดปากถ้ำพอดี ฝนก็ตกอย่างหนักตลอด 13 วันที่เด็ก ๆ ติดอยู่ในถ้ำ

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

เราได้รับรู้จากข่าวบ้างว่าเด็ก ๆ เอาชีวิตรอดในถ้ำด้วยการอยู่นิ่ง ๆ งดการเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น และกินน้ำหยดจากเพดานถ้ำตามที่โค้ชเอกได้สอนไว้ โค้ชเอกเคยบวชเป็นพระ เลยบอกให้เด็ก ๆ เก็บเสบียงขนมติดเป้มากินเท่าที่จำเป็น เพื่อให้มีกินได้นานที่สุด โค้ชเอกบอกว่ากินวันละมื้อแบบพระทำได้นะ เพราะคนสามารถทนอดอาหารได้ แต่อดน้ำไม่ได้ ตรงจุดนี้เป็นความดีความชอบของโค้ชเอกเลยที่สามารถนำเด็ก ๆ ไม่ให้ตื่นตระหนกและมีความหวัง เราได้เห็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมของบีม ปภังกรในการรับบทเป็นโค้ชเอก เขาแสดงสีหน้าที่ดูสบาย ๆ ต่อหน้าเด็ก ๆ แต่พอมีผู้ใหญ่จากหน่วยซีลมา ความรู้สึกจริง ๆ ของโค้ชเอกคือเครียดมาก กดดันจากความรับผิดชอบชีวิตของเด็ก ๆ กลัวว่าตัวเองจะพาเด็กมาตาย

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

สิ่งที่เราได้รู้จากภายนอกถ้ำคือเห็นเด็ก ๆ ดูสบายดี แต่จริง ๆ แล้วร่างกายเด็ก ๆ กำลังอ่อนแอจากการขาดอาหาร บางคนเริ่มมีอาการเห็นภาพหลอน หน่วยซีลก็รีบไปช่วยเด็ก ๆ ออกมา ตอนนั้นทุกคนกำลังมีความหวังเต็มที่ จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือตอนจ่าแซม ตอนนี้ทำได้น่าประทับใจแบบโดดเด่นกว่าตอนอื่น ๆ เลย จ่าแซม สมาน กุนัน เป็นทหารหน่วยซีลที่เกษียณไปแล้ว ชีวิตประจำวันคือใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขกับภรรยาหรือคุณเหมียว แต่เมื่อหน่วยซีลโทรเรียก เขาก็รับปากมาช่วยทันที เขารู้สึกเสียใจที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ ก่อน เพราะตอนแรกถังออกซิเจนไม่เพียงพอ แต่เมื่อทางเชียงรายได้ถังออกซิเจนมาเพิ่ม จ่าแซมเลือกที่จะช่วยเด็ก ๆ ซีนที่จ่าแซมเสียชีวิตเป็นซีนที่น่าสลดมาก ๆ เป็นจุดวัดใจที่ว่าผู้ว่า ฯ ณรงค์ศักดิ์จะถอยหรือไปต่อ เป็นหมุดหมายสำคัญของเรื่องช่วยชีวิตเด็กติดถ้ำ ชอบการนำเสนอของซีรีย์ที่สดุดีภรรยาของทหารหน่วยซีลว่าพวกเธอก็เสียสละในภารกิจนี้เช่นกัน และสูญเสียสามีไปจากภารกิจครั้งนี้ ชื่อตอน “บาทนำโชค” ใครไม่มีเวลาดูซีรีย์ยาว ๆ ดูตอนนี้ตอนเดียวก็คุ้มค่าแล้ว

ตอนเปิดตัวเคลลี่ สุวรรณรัตน์ หรือตัวละครสมมติที่เป็นวิศวกรชลศาสตร์ เป็นการนำสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างวิธีการสูบน้ำ การทำท่อแบบที่นักอุทกศาสตร์หลาย ๆ ท่านระดมกันมาช่วยในภารกิจครั้งนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับเราคนดู ถือว่าเก่งแล้วในการแปลง symbolic นี้ แต่จากการดู มันยังไม่ค่อยสมูธในการนำเสนอเท่าไหร่ ดูเป็นต่อน ๆ มาต่อ ๆ กัน เราไม่นับการพูดไทยไม่ชัดแบบจงใจของญาญ่า และพูดภาษาอังกฤษตลอดเรื่องที่หลายคนอาจขัดใจ ก็ทีมสร้างเขาตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเคลลี่ สุวรรณรัตน์ เป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน แต่อยู่อเมริกามาตลอดชีวิตนะ ตัวละครเคลลี่คือมาพูด ๆ ว่าต้องทำยังไงถึงจะทำให้ระดับน้ำลดลงพอให้หน่วยซีลดำน้ำไปช่วยเด็ก ๆ ได้ และจะต้องขอปล่อยน้ำลงที่นาของชาวบ้านด้วย ตรงนี้ก็เป็นความมีน้ำใจของชาวบ้านที่ว่าถึงนาข้าวจะเสียหาย แต่ปลูกใหม่ได้ ในขณะที่เด็ก ๆ ตายแล้ว ฟื้นไม่ได้แล้วนะ เป็นความน่ารักของชุมชนที่เห็นชีวิตคนสำคัญกว่าสภาพเศรษฐกิจหรือการมีกินของตัวเองทั้งที่ตัวเองก็ลำบากเพราะชีวิตก็ฝากความหวังไว้กับนาข้าว

เครดิตภาพประกอบจาก Netflix

ตอนที่นักประดาน้ำต่างชาติมาช่วย เราชอบตอนประชุมกัน เราได้เห็นซีนนี้แล้วใน The Rescue สารคดีถ้ำหลวงจาก National Geographic อันนั้นทำดี ละเอียดมาก เห็นแผนผังถ้ำและวิธีการเข้าไปช่วยเหลือ มันมาจากเหตุการณ์เดียวกันก็จะเป็นภาพที่คล้ายกันหน่อย ๆ เราซื้อไอเดียของ The Rescue มากกว่า เพราะมันตื่นเต้นกว่า แต่ไม่ใช่ของไทยไม่ดีนะ มันเป็นคนละแนวกัน ของไทยทำเป็นซีรีย์ base on true story จะเล่นกับดราม่าได้เยอะกว่า ด้วยความที่ดู The Rescue แล้ว เราก็เลยลองหามุมใหม่ ๆ ของเรื่องนี้แทน เราก็ได้เห็นมุมของคนไทยอย่างเจ้าหน้าที่นักการทูตอเมริกาที่มาดูแลคุณหมอแฮริสกับคุณหมอเคลก เป็นซีนน่ารักดี คุณหมอเป็นหมอวิสัญญีที่เป็นคนสำคัญในภารกิจนี้ คือต้องใช้เคตามินวางยาสลบเด็ก ๆ ระหว่างที่พาเด็ก ๆ ดำน้ำออกจากถ้ำ เพื่อป้องกันการดิ้นที่จะเป็นอันตรายต่อนักประดาน้ำและตัวเด็ก ๆ เอง เราได้เห็นความลังเลใจของคุณหมอเหมือนกับตอนผู้ว่าฯ เชียงราย เพราะการช่วยชีวิตของเด็ก ๆ เป็นการเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วยเช่นกันหากทำไม่สำเร็จ และไม่มีใครอยากให้มีการสูญเสียอีกแล้ว (ทว่าการรออยู่ในถ้ำเหมือนการรอความตายอย่างแน่นอน แต่การพยายามออกมาจากถ้ำ อาจจมน้ำตายก็ได้ แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะรอดและไม่ทรมานจากการขาดอากาศหายใจ)

ฮีโร่อีกคนก็คือหมอภาคย์ เขาเป็นทหารและหมอที่ดำน้ำเข้าไปช่วยตรวจร่างกายเด็ก ๆ และอยู่กับเด็กหลังจากที่เจอตัวเด็ก ๆ หมูป่าแล้ว แต่น่าเสียดายที่ซีรีย์ไม่ค่อยเน้นเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ชีวิตจริงหมอภาคย์เป็นคนที่ดูแลเด็ก ๆ เยอะมากเหมือนกับโค้ชเอก และทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

โดยรวมซีรีย์ทำได้ดีไม่เสียชื่อสองผู้กำกับ “เควิน ตันเจริญ” และ “บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” แม้ว่าบางตอนที่มี dead air และไม่สุดก็ตาม เรื่องถ้ำหลวงมีดราม่าให้เล่นเยอะอยู่แล้ว แต่บางตอนดูแล้วหงุดหงิด ตอนที่น่าขยี้ก็ปล่อยไปไม่ขยี้น่าเสียดาย ส่วนตอนที่ควรจะจบได้แล้ว อย่างตอนพ่อแม่เด็ก ๆ ก็ดึงดราม่าไม่จบไม่เลิก อยากตะโกนว่ารู้แล้วน่าว่าเสียใจ เราควรไปกันต่อประเด็นอื่นกันได้หรือยัง ในการทำหนัง จังหวะสำคัญมาก ๆ ทั้งเรื่องเพลง ฉากสองฉากที่มีความหมายและส่งผลต่อความรู้สึกอย่างคนดู ตอนที่คุณเหมียวโยนเหรียญนำโชคกับร่างของจ่าแซมที่กำลังร่วงลงสู่พื้นน้ำ มันอิมแพ็คมาก ๆ ทำให้เศร้ามากขึ้นไปอีก อยากให้ลองดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกแล้วค่อยไปดู The Rescue น่าจะเป็นการเรียงลำดับที่ดีเหมือนกินอาหารจานหลักที่อร่อยแล้วตบท้ายด้วยของหวานที่กินแล้วชื่นใจ

ภาพปกจาก Netflix